หน้าโทรม หมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง หน้ามัน รวมสาเหตุของปัญหาผิวยอดฮิตที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย วันนี้หมอโบมีวิธีเอาชนะปัญหาผิวเหล่านี้ด้วยวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผล 100% ใครทำตามรับรองว่าหน้าใสจนคนรอบตัวทัก เพื่อน ๆ อิจฉาแน่นอน
หน้าโทรม มันเป็นเมือก หมองคล้ำ รูขุมขนกว้างเกิดจากอะไร ?
ปัญหาหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส หน้ามันแทบจะทอดไข่ได้แถมรูขุมขนก็กว้างมาก เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาผิวที่คนส่วนใหญ่มักจะเจอบ่อย ๆ และสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยสาเหตุของปัญหาผิวเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
- การล้างหน้า ถูหน้า หรือ ขัดหน้ามากเกินไป หลายคนที่มีใบหน้าหมอง มีสิวขึ้น หน้ามัน มักจะคิดว่าการรักษาความสะอาดที่ดีคือการล้างหน้าให้บ่อยกว่าเดิม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมาก เพราะนอกจากจะไม่ทำให้หน้าไม่ใสขึ้นอย่างที่หวังแล้ว ยังยิ่งทำให้หน้ามันเร็ว สิวก็ยิ่งบุกขึ้นหน้ามากกว่าเดิม เนื่องจากผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นจากน้ำมันที่ขับออกมาจากผิวตามธรรมชาติ และการขัดหน้าบ่อย ๆ ก็ยังเป็นการรบกวนผิวโดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรขัดแค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็พอค่ะ
- การตากแดดมากจนเกินไป เนื่องจากแสงแดดมีรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า ที่นอกจากจะทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และเสี่ยงทำให้ผิวไหม้เกรียมแดงแสบร้อนแล้ว ยังเข้าไปทำลายชั้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยถามหาก่อนวัยอีกด้วย
- ล้างหน้าไม่สะอาด สำหรับใครที่แต่งหน้าหนาเป็นประจำ ก่อนขั้นตอนการล้างหน้าควรเช็ดเครื่องสำอางด้วยคลีนซิ่งเมคอัพรีมูฟเวอร์ (Make Up Remover) ก่อนให้สะอาด เพื่อป้องกันคราบเครื่องสำอางติดแน่นฝังบริเวณรูขุมขน หากล้างหน้าไม่สะอาดสะสมก็จะส่งผลให้เกิดสิว รูขุมขนกว้าง ผิวคล้ำไม่สดใส
- ดื่มน้ำน้อย สำหรับคนที่ดื่มน้ำน้อยเกินไปกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือน้อยกว่า 2 ลิตรต่อวันมักจะมีผิวที่หมอง ผิวแห้ง หยาบกระด้าง มากกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากร่างกายมักมีอาการขาดน้ำ
- นอนดึก อดนอนเป็นประจำ การพักผ่อนน้อยจะส่งผลให้ร่างกายขาดฮอร์โมนที่หลั่งออกมาขณะหลับเพื่อนำมาซ่อมแซมร่างกาย ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรม ผิวหมอง ไม่สดใส
- อายุที่มากขึ้น เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนธรรมชาติที่ผลิตใต้ชั้นผิวของเราก็มักจะผลิตน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ชั้นผิวที่เดิมเคยมีคอลลาเจนหนุนอยู่เกิดช่องว่าง ทำให้ผิวเริ่มมีริ้วรอยและใบหน้าก็ขาดความกระจ่างใส
วิธีแก้หน้าโทรม ทวงคืนหน้าใสแบบได้ผลจริง
1.ดื่มน้ำให้มากขึ้น
การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลยนะคะ สำหรับคนที่ต้องการมีใบหน้าใสกิ๊ง เพราะเมื่อเราได้รับน้ำอย่างเพียงพอเป็นประจำ 2 ลิตรต่อวัน ผิวก็จะชุ่มชื้นขึ้น ไม่หยาบกระด้าง
ดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยให้ผิวสดใส ไม่แก่เร็ว
2.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างถูกต้องคือการนอนให้ครบ 8 – 9 ชั่วโมง และไม่ควรเข้านอนช้ากว่า 22.00 น. เนื่องจากเวลาช่วง 22.00-02.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายกำลังหลั่งโกรทฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย ซึ่งข้อเสียคือโกรทฮอร์โมนจะหลั่งเป็นเวลาและจะหลั่งออกมาเฉพาะเวลาที่นอนหลับสนิทเท่านั้น หากเข้านอนดึกกว่านี้จึงจะทำให้ร่างกายไม่หลั่งโกรทฮอร์โมน ร่างกายก็จะขาดการซ่อมแซม
3.ทาครีมบำรุงผิว
ร่างกายเราต้องการทานอาหารเพื่อรับสารอาหารฉันใด ผิวเราก็ต้องการวิตามินบำรุงฉันนั้น ดังนั้นการทาครีมบำรุงก็ช่วยชะลอปัญหาผิวและปรับผิวให้กระจ่างใสได้ แต่การเลือกครีมบำรุงผิว และลำดับของการทาครีมบำรุงก็มีผลต่อการบำรุงเช่นกัน สำหรับใครอยากทราบ สามารถอ่านต่อได้ในบทความเหล่านี้เลยค่ะ
ทาครีมไม่ถูกวิธี ก็ทำให้หน้าเหี่ยวเร็วได้!! วิธีทาครีมให้ถูกต้องควรทำอย่างไร?
ลำดับทาครีมบำรุงผิว ควรทาอะไรก่อนทั้งเช้า-เย็น-ก่อนนอน
วิตามินบำรุงผิวให้สวยแบบปลอดภัย หน้าไม่พัง
4.ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์หลากหลายรูปแบบที่ช่วยชะลอวัย เพิ่มความสวยงามกระจ่างใสให้แก่ผิวที่คนไข้สามารถเลือกรูปแบบได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อยกกระชับใบหน้า หรือผู้ที่ไม่อยากพักฟื้นนาน ๆ กลัวการผ่าตัดก็มีตัวเลือกอย่างการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ ซึ่งสามารถช่วยยกกระชับ เพิ่มความกระจ่างใสได้ทันทีที่ฉีด หรือใครที่กลัวเข็มก็สามารถเลือกการทำอัลเทอร่าในการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนเพิ่มก็ได้ค่ะ แต่ก่อนที่จะทำควรจะศึกษาข้อดีข้อเสียกับศึกษาประวัติแพทย์และคลินิกให้ดีก่อนนะคะ เพราะหากศึกษาไม่ดีหลงไปทำกับหมอปลอมล่ะก็..แทนที่จะได้หน้าปังก็จะกลายเป็นพังต้องรักษานานขึ้น เสียทั้งเวลา เสียเงินและเสียความรู้สึกด้วยค่ะ
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ