ลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ไม่ยาก หากทำตามวิธีต่อไปนี้

ริ้วรอยรอบดวงตานับเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำเอาสาว ๆ หลายคนสูญเสียความมั่นใจไป วันนี้หมอโบจะมาแนะนำ 9 วิธีลดริ้วรอยรอบดวงตาได้แบบง่าย ๆ ว่าแต่มีวิธีไหนบ้าง มาอ่านกันเลยค่ะ

ลดริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา: ปัญหาบนใบหน้าที่ไม่ควรละเลย

ริ้วรอยรอบดวงตาเป็นภาวะที่รอบดวงตามีริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือรอยตีนกา ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นขีดขนาดเล็กบริเวณหางตา เมื่อคุณแสดงอารมณ์ทางสีหน้าผ่านการยิ้มหรือหัวเราะ ก็จะเห็นรอยตีนกาชัดกว่าการทำสีหน้าปกติ รอยตีนกาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รอยตีนกาชนิดตื้น เกิดจากผิวบนชั้นหนังกำพร้าบางลงจากการโดนแดดเป็นประจำ และรอยตีนกาชนิดลึก เกิดจากโครงสร้างผิวในชั้นหนังแท้หย่อนคล้อย นอกจากบริเวณรอบดวงตาแล้ว ยังเกิดขึ้นได้กับส่วนอื่นบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นหน้าผาก, รอยย่นระหว่างคิ้ว, ริ้วรอยร่องแก้มหรือมุมปาก และรอยย่นสันจมูก

สาเหตุของริ้วรอยรอบดวงตา

  • อายุมากขึ้น ทำให้คอลลาเจน, อิลาสติน และความแข็งแรงของผิวลดลง ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื่นและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น
  • แสงแดด แม้ว่ารังสี UV จากแสงแดดจะมีผลดีต่อร่างกาย แต่หากได้รับในปริมาณมากอาจไปทำลายเซลล์ผิว จนผิวแห้งเสีย
  • การแสดงอารมณ์บนใบหน้าเป็นประจำ เมื่อคุณแสดงสีหน้าบ่อย ๆ จะทำให้เกิดรอยพับบนใบหน้าซ้ำ ๆ จนกลายเป็นริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มจนตาหยี, ขมวดคิ้ว, เลิกคิ้ว จนผิวหดตัวและเกิดรอยลึก
  • พฤติกรรมเสี่ยงต่อปัญหา เช่น ขยี้ตา, ถูตา และพักผ่อนไม่เพียงพอ

ลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ไม่ยาก หากทำตามวิธีต่อไปนี้

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื่น หากคุณดื่มน้ำไม่ถึง 8 แก้ว สามารถปรับการดื่มน้ำให้เข้ากับเกณฑ์ได้ด้วยวิธีดังนี้

  • ดื่มหลังจากตื่นนอนตอนเช้า จำนวน 1 แก้ว เนื่องจากเป็นช่วงที่เลือดมีความเข้มข้นสูง เลือดจะอยู่ในลักษณะขาดน้ำมาตลอดทั้งคืน เมื่อดื่มน้ำเข้าไปจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ดื่มช่วงสายประมาณ 08.00 – 09.00 น. จำนวน 1 แก้ว ควรดื่มก่อนทานข้าวอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เนื่องจากจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
  • ดื่มช่วงสายประมาณ 09.00 – 10.00 น. จำนวน 1 แก้ว เนื่องจากเป็นช่วงที่มีของเสียสะสมในร่างกาย การดื่มน้ำในช่วงนี้จึงช่วยกระตุ้นและชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย
  • ดื่มช่วงบ่ายประมาณ 13.00 – 16.00 น. จำนวน 2 แก้ว โดยใช้วิธีจิบน้ำไปเรื่อย ๆ เพื่อดับกระหาย นอกจากจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นแล้วยังช่วยให้ตื่นตัวตลอดเวลาทั้งวันด้วย ทั้งนี้ไม่ควรดื่มรวดเดียว 2 แก้ว เพราะอาจทำให้จุกเสียดแน่นท้องได้
  • ดื่มช่วงเย็นประมาณ 17.00 – 19.00 น. จำนวน 1 แก้ว ควรดื่มก่อนทานข้าวอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง นอกจากจะช่วยลดความอยากอาหารแล้วยังป้องกันไม่ให้กระเพาะอาหารทำงานหนักเกินไปด้วย
  • ดื่มช่วงค่ำประมาณ 19.00 – 21.00 น. จำนวน 1 แก้ว ใช้วิธีจิบน้ำไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ระบบเลือดและลำไส้ทำงานได้ดี
  • ดื่มก่อนนอนจำนวน 1 แก้ว เพื่อชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้ ทั้งนี้ไม่ควรดื่มแล้วเข้านอนทันที เพราะอาจทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก ซึ่งไปรบกวนการนอนจนนอนหลับไม่สนิท

2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนนอกจากจะช่วยพักร่างกายให้พร้อมทำงานในวันต่อไปแล้ว ยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย แต่หากนอนดึกหรือนอนไม่พอเป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าได้ง่ายมาก ทางที่ดีควรนอนหลับอย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมง/คืน เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารจำเป็นที่จะช่วยบำรุงผิวให้อ่อนเยาว์, สร้างสมดุลให้แก่ระบบเผาผลาญ และซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย แต่หากคุณนอนหลับจนเคยชิน หมอโบขอแนะนำให้เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ป้องกันไม่ให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื่น เปลี่ยนหมอนและปลอกหมอนไม่ให้แข็งเกินไป ทั้งนี้อาจใช้ปลอกหมอนที่ทำจากผ้าไหมเพื่อป้องกันผิวแพ้ง่ายและลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอย รวมถึงฝึกนอนหงายเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าได้รับแรงกดทับเป็นเวลานานอีกด้วย

3. ทานอาหารบำรุงผิว

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใบหน้ามีริ้วรอยก็คือการขาดคอลลาเจนบำรุงผิว ซึ่งเราสามารถนำคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการทานอาหารที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ได้แก่

  • อะโวคาโด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนในระดับ DNA ช่วยให้ผิวเรียบยิ่งขึ้น
  • บลูเบอร์รี เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมุลอิสระสูง อุดมไปด้วยแอนโทไซยานินที่เสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
  • ธัญพืช เป็นแหล่งของสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง มีซีลีเนียม, วิตามิน E และกรดไขมันจำเป็น ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยอันควร
  • นมถั่วเหลือง มีสารเลซิตินที่อุดมไปด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องไม่ให้เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังมีสารโคลีนและอิโนซิทอลสำหรับบำรุงผิวให้เสื่อมช้าลง
  • ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน อุดมไปด้วยแหล่งโปรตีนและกรดไขมันชนิดดีช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอ

4. นวดรอบตาเพื่อผ่อนคลาย

  • บีบอายครีมลงบนนิ้วกลางและนิ้วนาง เกลี่ยอายครีมให้ทั่วนิ้วมือทั้ง 2 ข้าง ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางแตะกลางใต้ตา แล้วใช้นิ้วกลางลากไปยังหางตาและใช้นิ้วนางลากไปยังหัวตาอย่างเบามือ นวดทีละ 5 ครั้ง
  • ใช้นิ้วกลางนวดเป็นวงกลมเล็ก ๆ ถี่ ๆ บริเวณใต้ตา เริ่มจากหัวตาไปยังหางตา นวดทีละ 5 ครั้ง
  • จากนั้นหลับตา แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดขอบเบ้าตาด้านบน เริ่มนวดจากหัวตาออกไปยังหางตา เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายดวงตา นวดทีละ 5 ครั้ง

5. ทาครีมบำรุงผิว

หมอโบแนะนำให้ใช้ครีมลดริ้วรอยที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Ratinol) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอริ้วรอยบนใบหน้า โดยเน้นทาช่วงกลางคืน และใช้ในปริมาณน้อยในช่วงแรก เพราะเรตินอลมีฤทธิ์ทำให้ผิวแห้งง่าย นอกจากนี้อาจเน้นครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน A และ C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวด้วย และที่สำคัญเวลาทาให้ใช้นิ้วนาง เพราะเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อย จึงไม่รบกวนผิวบริเวณนั้นมากเกินไปค่ะ

6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

การสัมผัสบริเวณรอบตาบ่อย ๆ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นถูกกดทับซ้ำ ๆ จนเกิดริ้วรอยตามมา ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา, หากรู้สึกว่าตาแห้งและต้องเช็ดตาบ่อย ๆ แนะนำให้ใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียม เพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื่น, งดการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า ฯลฯ

7. ล้างเมคอัพให้ถูกวิธี

หนึ่งในวิธีล้างเมคอัพที่ทำร้ายผิวรอบดวงตาของสาว ๆ หลายคน นั่นก็คือการใช้สำลีเช็ดรอบดวงตาหลายรอบจนกว่าคราบเมคอัพจะจางหมด ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดนะคะ เนื่องจากผิวจะถูกเสียดสีจนเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยตามมา ทางที่ดีควรใช้ทิชชูเปียกสูตรน้ำบริสุทธิ์เช็ดให้ทั่วใบหน้า จากนั้นใช้ Remover เช็ดรอบดวงตาให้สะอาด ตามด้วยวาสลีนเช็ดเครื่องสำอางกันน้ำ หากคุณเป็นคนผิวแห้ง หมอโบแนะนำให้ใช้ครีมหรือออยล์เพื่อให้ผิวชุ่มชื่น แต่หากใครมีผิวมันก็แนะนำให้ใช้แบบ Oil Free หรือใครมีผิวแพ้ง่ายก็เลือกสูตรอ่อนโยนต่อผิวดูค่ะ เมื่อเช็ดเสร็จแล้วให้ปิดท้ายด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วเอามาอังหน้าประมาณ 2 – 3 นาที เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกง่ายและกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วใบหน้า

8. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ปลอดภัยไม่เสี่ยง

การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (hyaluronic acid) ที่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ รอบดวงตา แถมยังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้แก่ผิวบริเวณที่ฉีด ลดรอยหมองคล้ำใต้ตาได้ชัด แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างอีกด้วย เพราะฟิลเลอร์ HA จะสลายตัวเองภายใน 2-6 ปี (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดและวิธีดูแลตัวเองของคนไข้)

9. ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา

การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตาและรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่เกิดจากกล้ามเนื้อหดเกร็ง เนื่องจากโบท็อกซ์จะมีสารช่วยให้กล้ามเนื้อที่มีริ้วรอยผ่อนคลายลงและป้องกันกล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยตื้นขึ้น การฉีดโบท็อกซ์เป็นการรักษาที่ทำให้ผิวหน้าบริเวณหางตาตึงขึ้น ดังนั้นจึงไม่ส่งผลต่อการแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากนัก แถมยังเห็นผลหลังจากฉีดภายใน 5 – 7 วัน และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 14 วัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ โบท็อกซ์จะมีประสิทธิภาพและอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดและวิธีดูแลตัวเองของคนไข้)

ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์นั้นจำเป็นจะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะต้องวิเคราะห์ใบหน้าของคนไข้และคำนวณปริมาณของฟิลเลอร์ให้เหมาะต่อการฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ มีทั้งโมเลกุลเล็กไปจนถึงใหญ่ หากฉีดมากเกินไปอาจกลายเป็นก้อนได้ แต่หากฉีดน้อยเกินไปอาจแก้ไขปัญหาให้คนไข้ไม่ได้ด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ท่านไหน แนะนำให้เช็กประวัติและดูรีวิวของแพทย์ท่านนั้นให้ดีว่า คนไข้ที่รีวิวนั้นมีตัวตนจริงหรือเป็นหน้าม้า ระวังโดนหมอปลอมหลอกเอานะคะ ขืนได้ไปฉีดฟิลเลอร์ปลอมขึ้นมาล่ะก็ อาจส่งผลแย่ที่ต้องมานั่งตามแก้กันอีกยาว เพราะฟิลเลอร์ปลอมเป็นซิลิโคนเหลวที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ แถมยังเสี่ยงต่ออาการแพ้ มีใบหน้าสัดส่วนผิดรูปอีกด้วย

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ แบบ ฉบับสายฝอ ต้องรู้อะไรบ้าง

วิธีดูแลตัวเอง หลังฉีดฟิลเลอร์ ใน 24 ชั่วโมง ต้องทำตัวยังไง

นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

Line : @debeauclinic
☎️ : 097 426-6956 หรือ 097 429-5645

ฉีดฟิลเลอร์ หมอโบ เดอโบคลินิก (De Beau Clinic) ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์แท้

หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”

สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ