1 ในปัญหาบนผิวหน้าที่ทำเอาสาว ๆ ปวดหัวทุกครั้งที่เห็นก็คือใต้ตาคล้ำ ผิวใต้ตาบาง แล้วสาเหตุของปัญหานี้อาจเกิดจากอะไร รักษาให้หายได้มั้ย มาดูกันค่ะ
ผิวใต้ตาบางคืออะไร
ผิวใต้ตาบาง หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า ขอบตาแพนด้า เป็นภาวะที่มีสีดำคล้ำบริเวณใต้ตา เนื่องจากระบบประสาท, กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือดลดลง ร่างกายจึงสะสมไขมันใต้ผิวหนังน้อยลง ส่งผลให้เห็นเลือดไหลเวียนบริเวณเบ้าตาชัดเจนขึ้น แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณดังกล่าวแต่การมีขอบตาคล้ำอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง โดยปกติแล้วภาวะนี้อาจเกิดได้ง่ายเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุทั้งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและพฤติกรรมเสี่ยงที่เราทำลงไปด้วยความเคยชิน
ผิวใต้ตาบางเกิดจากอะไรบ้าง
1. สรีระของโครงหน้าที่เกิดจากกรรมพันธุ์
หากคนในครอบครัวมีขอบตาดำ หรือมีเบ้าตาลึก เมื่อใบหน้าสัมผัสกับแสง อาจทำให้ใครหลายคนเห็นว่าขอบดำของคน ๆ นั้นดำคล้ำ
2. อายุที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ระบบประสาท, กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือดลดลง ส่งผลให้ผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อย เกิดเป็นรอยดำใต้ตา นอกจากนี้ยังมีรอยย่นรอบดวงตา หรืออาจมีถุงใต้ตาร่วมด้วย
3. ภูมิแพ้
เมื่อร่างกายเป็นภูมิแพ้ ส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น เส้นเลือดดำรอบดวงตาจึงขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่ โรคภูมิแพ้ผิวหนังเรื้อรัง
4. ขยี้ตาเป็นประจำ
อาการนี้เกิดขึ้นได้จากความเคยชิน หรืออาจเกิดจากภูมิแพ้ เมื่อขยี้ตาบ่อย ๆ จะกระตุ้นเซลล์ให้สร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น หรืออาจเกิดจากอาการตาแห้งจนต้องขยี้เพื่อให้มีน้ำตาออกมา
5. ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวใต้ตาคล้ำลง โดยภาวะขาดน้ำอาจเกิดจากท้องเสีย, อาเจียน, การออกกำลังกาย, การใช้ยาบางชนิด รวมถึงกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน, โรคไต ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดน้ำง่ายกว่าคนทั่วไป
6. แสงแดด
เมื่อร่างกายได้รับแสงแดดมากเกินไป แสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีทำงานมากขึ้น เกิดเป็นรอยคล้ำใต้ตา
7. พฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดจากความเคยชิน
ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึกตื่นเช้า, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นและระบบเลือดไหลเวียนไม่ดี ส่งผลให้ร่างกายอยู่ในภาวะเสียสมดุล โดยมีภาวะตาคล้ำเป็นสัญญาณบอกเหตุ
หลีกเลี่ยงการเกิดผิวใต้ตาบางได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
1. ดูแลสุขภาพ
การดูแลสุขภาพให้ดีจะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น การดูแลสุขภาพสามารถทำได้ทุกคนโดยเริ่มจากการควบคุมอาหารการกินให้สมดุล เน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามิน C, ดื่มน้ำให้ครบวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น รวมถึงการออกกำลังกายทุกวันและหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด และอย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมงด้วยนะคะ
2. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
ไม่ว่าจะเป็นการขยี้ตา, นอนดึกเป็นประจำ, เครียดง่าย รวมถึงอาการแพ้เครื่องสำอางบางชนิด หากไม่มั่นใจว่าเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ควรทดสอบเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนใช้งาน
3. นวดรอบดวงตา
ใช้นิ้วชี้นวดอย่างเบามือบริเวณใต้ตาด้านล่าง นวดวนจากซ้ายไปขวา ทำซ้ำ ๆ จำนวน 10 ครั้ง ทั้งนี้ควรทำทุกวันหลังตื่นนอน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพราะการนวดดวงตาจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและลดรอยหมองคล้ำใต้ตาได้ดีขึ้น
4. วัตถุดิบจากธรรมชาติ
รู้หรือไม่ว่าวัตถุดิบจากธรรมชาติสามารถลดรอยหมองคล้ำใต้ตาได้ ไม่ว่าจะเป็นแตงกวาฝานบาง ๆ หรือว่านหางจระเข้สด ๆ ทาใต้ตาทิ้งไว้ 1 คืน ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรืออาจใช้ผงจันทน์เทศบดผสมนมสด ทาบริเวณใต้ตา จากนั้นทิ้งไว้ 1 คืน
5. คอนซีลเลอร์
เป็นเครื่องสำอางชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นมาสำหรับปกปิดรอยคล้ำและรอยสิวบนใบหน้าได้ชั่วคราว เหมาะกับการใช้ในกรณีที่ต้องออกจากบ้านในระหว่างรักษาใต้ตาคล้ำ
6. Eye Cream
อายครีม เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาให้ชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังลดอาการบวมและหมองคล้ำบริเวณใต้ดวงตา ทั้งนี้หมอโบแนะนำให้เลือกครีมที่มีส่วนประกอบของวิตามิน A, C และ E หรือสารกลุ่ม Whitening ได้แก่ Arbutin และ Kojie แต่หากต้องการการบำรุงอย่างจริงจังขึ้น แนะนำให้ทำทรีตเมนต์กลุ่ม Vitamin และ กลุ่ม Whitening เพื่อบำรุงรอบดวงตาให้สดใสขึ้น
7.การทำ Laser
การทำเลเซอร์ใต้ตาจะช่วยลดเม็ดสีของผิวและลดการขยายตัวของเส้นเลือด ทั้งนี้ต้องอยู่ในการดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
8. ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกเติมเต็ม ดูสวยเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ต้องอยู่ในการดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตร์บัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ
อ่านบทความที่น่าสนใจได้ที่นี่
การฉีดฟิลเลอร์ Filler กับ 7 ความเชื่อแบบผิด ๆ ที่หลายคนยังไม่เข้าใจ
เคล็ดลับ สวยฉบับเร่งด่วน กู้ตาโทรม ดำคล้ำ ไม่กระชับ ภายใน 1 วัน
วิธีเช็คอาการก่อน ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ตาแบบไหนควรฉีดฟิลเลอร์