ฟิลเลอร์ Juvederm ดียังไง ทำไมสาว ๆ หลายคนถึงไว้วางใจฟิลเลอร์ตัวนี้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจที่จะฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ถือว่าเป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ใครหลายคนต่างก็นึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ แต่หากคุณไม่เคยรู้จักฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้มาก่อนและอยากรู้ว่าฟิลเลอร์นี้ดียังไง ราคาเท่าไหร่ มีวิธีเช็กฟิลเลอร์ได้อย่างไรบ้าง วันนี้หมอโบจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

ฟิลเลอร์ juvederm

ฟิลเลอร์ Juvederm คืออะไร

จูวีเดิม เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อว่า ฟิลเลอร์เมกา นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand จูวีเดิมเป็นกรดไฮยาลูโรนิก HA (Hyaluronic acid) ที่ช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเหมือนวิธีการรักษาปัญหาริ้วรอยแบบอื่น ตัวฟิลเลอร์มีลักษณะเป็นเจลเนื้อเนียนใสคล้ายคริสตัล จูวีเดิมมีทั้งหมด 6 รุ่น ได้แก่ JUVÉDERM® VOLLURE® XC, JUVÉDERM® VOLUMA® XC, JUVÉDERM® VOLBELLA® XC, JUVÉDERM® ULTRA PLUS XC, JUVÉDERM® ULTRA XC และ JUVÉDERM® VOLUX® XC ซึ่งแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อปัญหาเฉพาะจุดโดยเฉพาะ จูวีเดิมได้รับการรับรองจาก FDA ของไทยและสหรัฐอเมริกา จึงมั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยต่อร่างกายแน่นอนค่ะ นอกจากจะเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูงแล้ว จุดเด่นของจูวีเดิมอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวฟิลเลอร์จะมีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับใครก็ตามที่กลัวเจ็บ ฉีดตัวนี้ได้สบายใจแน่นอนค่ะ

สำหรับใครที่ต้องการผลลัพธ์หลังการฉีดที่ดี หมอโบการันตีว่าดราใช้ฟิลเลอร์ Juvederm ให้แก่ผู้เข้ารับการรักษาทุกคนค่ะ

ฟิลเลอร์ Juvederm มีกี่รุ่น เหมาะกับจุดไหนบ้าง

ต้องบอกก่อนนะคะว่าจูวีเดิมมีเทคนิคการผลิตทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เทคโนโลยี Hylacross ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การอุ้มน้ำได้ดีและมีความยืดหยุ่นสูง ผลลัพธ์หลังการฉีดจึงช่วยให้ผิวเรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้เนื้อฟิลเลอร์ยังมีความฟูมาก สามารถเติมร่องลึกได้เป็นอย่างดี รวมถึงตำแหน่งที่ไขมันหายไปเป็นจำนวนมากอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับตำแหน่งผิวที่มีการขยับบ่อย ๆ อย่างร่องแก้ม ส่วนเทคโนโลยี Vycross เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อมาจาก Hylacross มีจุดเด่นเรื่องโมเลกุลที่ยึดเกาะและการยกกระชับ มีอัตราการบวมน้ำน้อยมาก จึงมีคุณสมบัติยกกระชับผิวได้ดี ผิวเรียบเนียน สำหรับฟิลเลอร์จูวีเดิมมีหลากหลายรุ่นและมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปดังต่อไปนี้

1. Juvederm Ultra XC

เนื้อฟิลเลอร์จะมีความเรียบเนียน ฟูน้ำได้ดีมาก เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยลึกบริเวณแก้มตอบ ขมับ จมูก ร่องมุมปาก และคาง สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 8-12 เดือน

2. Juvederm Ultra plus XC

ตัวฟิลเลอร์ผลิตโดยเทคโนโลยี Hylacross เนื้อฟิลเลอร์จะมีลักษณะนิ่มฟูมาก มีความคงตัวสูง มีส่วนช่วยในการปรับริ้วรอยบนใบหน้าให้เรียบเนียน ปานกลางถึงรุนแรง รอยพับรอบจมูก ขมับ และปาก สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน

3. Juvederm Volbella

เนื้อฟิลเลอร์จะมีความนุ่มนิ่มที่สุดเพราะมีโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยเติมความเรียบเนียนให้ผิวแต่ยังคงผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติเอาไว้ ฉีดแล้วไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับบริเวณใต้ตาและหน้าผาก สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน

4. Juvederm Volift

เนื้อฟิลเลอร์จะมีความนิ่มและละเอียด ไม่ไหลง่าย ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีผิวบางอย่างใต้ตา ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม เพราะช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาและเบ้าตาโหล รวมถึงปรับ Volume ปากได้ดีทีเดียว สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 12-18 เดือน

5. Juvederm Volite

เนื้อฟิลเลอร์จะมีความละเอียดสูงที่สุดในบรรดาฟิลเลอร์ของจูวีเดิมทั้งหมด ตัวเนื้อฟิลเลอร์เบาบาง สามารถกลืนกินกับผิวได้เป็นอย่างดี ฉีดเข้าไปยังชั้นหนังแท้ได้ ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและลดรูขุมขนที่กว้างให้เล็กลง เหมาะสำหรับบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ ริมฝีปาก ใต้ตา และลำคอ สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 6-8 เดือน

6. Juvederm Voluma

จัดเป็นรุ่นตัวท็อปยอดนิยมของจูวีเดิมเลยก็ว่าได้สำหรับ Juvederm Voluma เนื้อฟิลเลอร์จะมีความแน่น เรียบเนียน เนื้อฟูระดับปานกลาง มีโมเลกุลขนาดใหญ่ อีกทั้งมีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะสำหรับเติมบริเวณที่มีปัญหาง่ายอย่างใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ คาง แก้ปัญหาแก้มตอบ ขมับตอบได้เป็นอย่างดี สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 18-24 เดือน

7. Juvederm Volux

เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็งที่สุดในบรรดาฟิลเลอร์ของจูวีเดิมทั้งหมด ข้อดีของฟิลเลอร์รุ่นนี้จะอยู่ที่การกลืนกับผิวได้ดี ช่วยให้มีเนื้อสัมผัสเบา ขึ้นรูปสวยงาม คงรูปได้ดี แถมยังยกกระชับได้อีกด้วยค่ะ เหมาะสำหรับการปรับแนวขากรรไกร กระดูกกราม คาง ช่วยเพิ่มความยาวและเน้นให้กรอบหน้าดูชัดยิ่งขึ้น สำหรับระยะเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์จะอยู่ที่ประมาณ 18-24 เดือน

ฟิลเลอร์ Juvederm อยู่ได้กี่ปี

สำหรับระยะเวลาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 8-18 เดือน หรือประมาณ 1-2 ปี หากต้องการคงผลลัพธ์เอาไว้ให้อยู่ได้นานที่สุดจะต้องกลับเข้ามาฉีดอย่างต่อเนื่องค่ะ

ฟิลเลอร์ Juvederm เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก มุมปาก ร่องน้ำหมาก
  • ผู้ที่มีปัญหากระดูกเบ้าตายุบตัว มีถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ
  • ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง มีหลุมสิวบนหน้า
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลข้างเคียงฟิลเลอร์ Juvederm มีอะไรบ้าง

สำหรับอาการที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์จะมีทั้งแบบเล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรง โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและหายไปเองภายใน 1-21 สัปดาห์ ดังต่อไปนี้

  • อาการบวมบริเวณที่ฉีด
  • มีก้อนหรือตุ่มแดง กดแล้วรู้สึกเจ็บ
  • บริเวณที่ฉีดช้ำ เปลี่ยนสี

แต่หากแพทย์ที่ทำการฉีดไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพระยะยาวได้ ดังนี้

  • ตาพร่ามัว ตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงลูกตา
  • ผิวหนังขาดเลือดจนเนื้อตาย ผิวหนังกลายเป็นสีเทา
  • ฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดและอุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง จนกลายเป็นอัมพาต
  • เกิดการติดเชื้อจากฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
  • แพ้ฟิลเลอร์ แม้จะเกิดได้น้อยแต่คนไข้บางรายอาจแพ้สารประกอบในฟิลเลอร์ได้เช่นกัน
  • เส้นประสาทบาดเจ็บและทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง

ฟิลเลอร์ Juvederm ของแท้ดูยังไง

  • หากเป็นของแท้ ตัวกล่องจะต้องปิดสนิท ไม่มีการแกะออกใด ๆ
  • หากแกะออกมาแล้ว ภายในจะบรรจุซองผลิตภัณฑ์ซีลปิดสนิท โดยมีฟิลเลอร์อยู่จำนวน 2 หลอด
  • มีฉลากภาษาไทยและเลขที่ใบอนุญาตจาก อย.
  • หากสแกนบาร์โค้ดเช็กดูเลขที่ผลิต วันผลิต วันหมดอายุ และเลขที่อ้างอิง จะพบว่าข้อมูลตรงกับฝากล่องและซองด้านใน

ฟิลเลอร์ Juvederm ราคาเท่าไหร่

  • Juvederm ultra XC ราคาประมาณ 8,000 บาท
  • Juvederm ultra plus XC ราคาประมาณ 11,000-12,000 บาท
  • Juvederm Volbella ราคาประมาณ 11,000-20,000 บาท
  • Juvederm volift ราคาประมาณ 13,000-14,000 บาท
  • Juvederm volite ราคาประมาณ 14,000-15,000 บาท
  • Juvederm voluma ราคาประมาณ 13,000-15,000 บาท
  • Juvederm volux ราคาประมาณ 18,000 บาท

Q&A คำถามที่พบบ่อย

ทำไม Juvederm ถึงแพงกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อ

จูวีเดิมเป็นแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกาที่มีเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะตัวโดยเน้นสารสกัดจากธรรมชาติ ตัวฟิลเลอร์เองได้รับรองมาตรฐานจากสถาบันชั้นนำ อีกทั้งมีบริการหลังการขายในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยองค์ประกอบที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้ฟิลเลอร์มีราคาสูงกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อค่ะ

Juvederm กับ Restylane ต่างกันยังไง

แม้ว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้จะมีเนื้อค่อนข้างอ่อน ฉีดแล้วไม่เป็นก้อน สามารถเติมได้หลายจุดเหมือนกัน แต่สำหรับ Juvederm ตัวเนื้อเจลจะเน้นไปในด้านความเรียบเนียน ส่วน Restylane จะเน้นไปที่การพยุงผิวค่ะ ส่วนผลลัพธ์หลังการฉีดของ Juvederm จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ส่วน Restylane จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปีค่ะ

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ Juvederm จากหมอโบ

ดูรีวิวทั้งหมด คลิก

ฉีดฟิลเลอร์แก้ปัญหาใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ที่ไหนดี ทำไมต้อง De Beau Clinic

สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้จะเป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้รับรองจากอย.ไทย คือ ยี่ห้อ JUVEDERM , RESTYLANE ประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่งในฟิลเลอร์ไม่มั่นใจได้เลยว่า “สวย” เสี่ยงมากน้อย” หากใครมีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ หมอโบ เดอโบคลินิก (De Beau Clinic) ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์แท้

หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”

สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครมีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ

นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

Line : @debeauclinic
☎️ : 097 426-6956 หรือ 097 429-5645

บทความที่น่าสนใจ