ผิวหย่อนคล้อย ก่อนวัย เป็นกันทุกคนหรือไม่ แก้อย่างไรดี?

ผิวหย่อนคล้อย ก่อนวัย มีสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผิวเราย้วย ผิวขาดคอลลาเจน หรือมีความหย่อนคล้อย หลัก ๆ คือการที่ผิวขาดคอลลาเจน (Collagen) นั่นเอง โดยการที่ผิวขาดคอลลาเจนเช่นนี้มีผลเสียที่ตามมาได้หลายอย่างทีเดียวค่ะ ซึ่งที่เห็นชัดที่สุดก็คือความหย่อนคล้อยดังกล่าว ซึ่งปัญหาเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่อายุน้อย ๆ ซึ่งหากมีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียคอลลาเจนก็เป็นได้เช่นกันแม้อายุจะยังไม่มากก็ตาม ซึ่งจะมีพฤติกรรมใดบ้าง ในบทความนี้เราจะมาดูกันค่ะ

ผิวหย่อนคล้อย ก่อนวัย เป็นกันทุกคนหรือไม่ แก้อย่างไรดี?

ผิวหย่อนคล้อย ก่อนวัย เกิดจากอะไร แก้อย่างไรดี?

ความหย่อนคล้อยลักษณะนี้เกิดจากอายุที่เริ่มมากขึ้น โครงสร้างผิวหนังโดยเฉพาะชั้นหนังแท้เริ่มสูญเสียเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน  ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวหนัง  เมื่อโครงสร้างค้ำยันผิวไม่แข็งแรง ผิวจึงเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อย

สำหรับบริเวณชั้นรอยต่อระหว่างผิวชั้นบนกับผิวชั้นหนังแท้จะยุบตัวแบนลง เป็นผลให้ผิวได้รับสารอาหารน้อยลง ทำให้ผิวอ่อนแอลงและเสื่อมได้ง่าย และยังทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวมีประสิทธิภาพแย่ลงด้วย

ส่วนผิวชั้นใต้ผิวหนัง  บริเวณชั้นไขมันจะบางลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากทั้งภายนอกและภายในที่รุมเร้าให้ผิวเสื่อมหย่อนคล้อยเร็วกว่าวัยอันควรอีกด้วย  

ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าแต่ละช่วงวัย

เมื่อเรายังเด็ก ผิวพรรณก็ยังสดใส แต่เมื่อมีอายุที่เพิ่มขึ้น ผิวเริ่มเสื่อมถอย ร่วงโรย ผิวขาดความยืดหยุ่นไปตามวัย จริง ๆ แล้วผิวของเราในแต่ละช่วงวัยมีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบแตกต่างกัน เช่น เมื่อวัยเด็ก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เม็ดสีน้อย แต่การป้องกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ผิวจึงไวต่อแสงแดดและรังสี UV มาก แต่เมื่อเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่ผิวพรรณของเราได้พัฒนาอย่างเต็มที่ แต่ก็มักจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จึงเป็นสิวและผิวมีความมันได้ง่าย ดังนั้น ปัญหาของผิวแต่ละช่วงวัยจึงแตกต่างกัน การดูแลผิวจึงต้องทำให้เหมาะสมต่อสภาพผิวแต่ละช่วงวัยด้วยนั่นเองค่ะ

ช่วงอายุ 20+

20+ ปัญหาผิวจะเกิดตรงบริเวณชั้นผิวหนังแท้ โดยคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ที่ทำให้ผิวหนังมีความเรียบตึง กระชับ และยืดหยุ่น เกิดการเสื่อมสลายไป มีการสร้างใหม่น้อยลง ผิวเริ่มมีริ้วรอยและเกิดความหย่อนคล้อย ผิวหน้าดูไม่สดใสเหมือนวัยรุ่น

ช่วงอายุ 30+

30+ พอเข้าสู่เลข 3 ปัญหาในชั้นผิวหนังแท้เริ่มมีมากขึ้นเพราะคอลลาเจน และ อิลาสตินถูกทำลายมากขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับผิวชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้ามีการผลัดตัวช้าลง ทำให้ผิวดูหยาบกร้านมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มเห็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ชัดเจนขึ้น

ช่วงอายุ 40+

40+ มาถึงวัย 40 ชั้นผิวเริ่มอ่อนแอมากขึ้น ปัญหาผิวได้ลงลึกไปถึงชั้นไขมันโดยมีการเสื่อมสลายไป ไม่หนาแน่นเหมือนในวัยเด็ก ทำให้ผิวเกิดการยุบตัว หรือที่เราเรียกว่า Baby Fat หายไปนั่นเอง นอกจากนี้ SMAS หรือ เนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่โอบอุ้มผิวให้มีความกระชับได้รูป เริ่มเสื่อมสภาพและอ่อนแรง ทำให้การพยุงผิวแย่ลง รูปหน้าจึงเริ่มหย่อนคล้อย

ช่วงอายุ 50+

50+ พอเข้าสู่วัยนี้ ปัญหาผิวได้ลงลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ริ้วรอยยิ่งลึก ผิวหนังเริ่มบางลง รูปหน้าเริ่มเปลี่ยน เพราะมีการหย่อนคล้อยมาก โครงสร้างของใบหน้าอย่างกระดูกเกิดการยุบตัวลงตามธรรมชาติ ทำให้บางคนมีรูปหน้าไม่สมส่วน บางส่วนดูตอบ หรือดูบุ๋มลงไป

  

5 เหตุผลของการสูญเสีย “คอลลาเจน” สารสำคัญของผิวเต่งตึง

คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกายของเรา โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั่วร่างกาย คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของผิวหนัง ผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น นอกจากนั้นยังพบคอลลาเจนได้ในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หลอดเลือด กระจกตา และฟัน เป็นต้น ซึ่งการสูญเสียคอลลาเจนก่อนวัยอันควรก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

อายุของเราที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน

อายุเป็นปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อายุของคนเราเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนก็ลดลงไปเช่นกัน จะสังเกตได้จากผิวเด็ก หรือผิวของคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี จะมีความยืดหยุ่นสูง เปล่งปลั่ง เต่งตึง ดึงแล้วเด้งกลับในทันที เมื่อเกิดบาดแผล แผลจะสมานตัวเร็ว เป็นเพราะว่าใต้ผิวหนังมีคอลลาเจนอยู่จำนวนมาก เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนลดลงปีละ 1 % ยิ่งอายุมากขึ้นผิวก็จะยิ่งขาดความชุ่มชื้น ขาดความเต่งตึง จากนั้นจะค่อย ๆ เกิดริ้วรอย มีความเหี่ยวย่นต่าง ๆ การสมานตัวของแผลก็จะช้าลง พออายุย่างเข้าเลข 4 การสร้างคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเหลือเพียง 30% เท่านั้น

การพักผ่อน และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

การพักผ่อนที่ดี คือการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ ในแต่ละวันเราควรนอนให้เพียงพอ หลับลึก และนอนให้ตรงเวลา หรือนอนในช่วงที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) นะคะ เพราะเมลาโทนินจะเป็นตัวนำให้ฮอร์โมนตัวอื่น ๆ เช่น โกรวท์ฮอร์โมน (Growth hormone) หรือฮอร์โมนที่คอยควบคุมการเจริญเติบโต และควบคุมการทำงานของร่างกายของเราค่ะ

UVA และ UVB จากแสงแดด

ในแสงแดดจะมีรังสี UVA และ UVB อยู่นะคะ ซึ่งรังสีดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ โดยสารอนุมูลอิสระนี้ จะเข้าไปทำลายโปรตีนหรือคอลลาเจนภายใต้ผิว เราจะพบได้ว่าคนที่ทำงานที่ต้องออกกลางแจ้งบ่อย ๆ จะมีสภาพผิวที่แห้งเหี่ยว และผิวหยาบกร้านกว่าคนทั่วไป

มลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง

ในชีวิตประจำวัน เราต้องเดินทางแทบทุกวัน เราจึงหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศได้ยาก ซึ่งฝุ่นที่พูดถึงนี้ รวมถึงฝุ่นในอากาศ หรือโลหะหนัก ปรอท แคดเมียม อนุมูลเล็ก ๆ และสารอื่น ๆ ถ้าแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกาย และสะสมในเซลล์ จะทำให้เกิดผลเสียตามมาอีกมากมายได้ค่ะ

การสูบบุหรี่สร้างความเสียหายให้แก่ผิว

การสูบบุหรี่จะทำให้คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) เข้าไปแทนที่ออกซิเจน (Oxygen) ในผิวหนัง และสารนิโคติน (Nicotine) ในบุหรี่จะเข้าไปขัดขวางระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบ จึงทำให้เลือดไหลเวียนได้ช้าลง และคอยทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ผิวขาดความกระชับ เต่งตึง ผิวแห้ง ผิวไม่ชุ่มชื้น ผิวที่เคยเปล่งปลั่งกลับหมองคล้ำลง

วิธีแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่นิยมในปัจจุบัน มีวิธีใดบ้าง?

จากที่กล่าวไปข้างต้นค่ะว่า แม้ปัญหาผิวจะเพิ่มทวีคูณขึ้นตามลำดับอายุ หรือ จะเกิดจากพฤติกรรม สิ่งแวดล้อมก็ตามแต่ ในปัจจุบันก็มีวิธีที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้มากมาย เช่น

เลเซอร์ยกกระชับ Tightening laser

ปัจจุบันมีเลเซอร์หลายชนิดที่นอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ รูขุมขนกระชับขึ้นแล้ว ยังส่งผลในการยกกระชับผิวหน้าและลดการหย่อนคล้อยของใบหน้าได้อีกด้วย

อัลเทอร่า Ulthera

เครื่องมือยกกระชับผิวที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกัน เพราะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สามารถช่วยยกผิวหน้าที่หย่อนคล้อย ปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินได้อีกด้วย ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือนลง ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง แบบที่ไม่ต้องผ่าตัดดึงหน้าเลยทีเดียว

โบท็อก Botox

วิธีปรับรูปหน้าที่หลายคนรู้จักกันดีอย่าง โบท็อก นอกจากจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อ ให้ใบหน้าเรียวเล็กลง และช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวเรียบเนียนได้แล้ว การฉีดโบท็อกยังสามารถช่วย ยกกระชับใบหน้าได้อีกด้วย หรือที่เรียกว่า การฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า

เทอร์มาจ Thermage

เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถปรับรูปหน้าให้เรียวสวยได้อย่างมีมิติ ช่วยแก้ปัญหาแก้มห้อย ลดการสะสมของไขมันบริเวณกรอบหน้า เหนียง ที่ทำให้กรอบหน้าไม่ชัด แถมยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างล้ำลึก กระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียน เปล่งปลั่ง สุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วย

ฟิลเลอร์ Filler

หลายคนอาจจะคิดว่าฟิลเลอร์เป็นการเติมร่อง ริ้วรอยให้ดูเต็มมากขึ้น อย่างเช่นร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือปรับรูปหน้า เช่นเติมคาง เติมปากให้อวบอิ่ม แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะฟิลเลอร์ยังสามารถฉีดเพียงช่วยยกกระชับใบหน้าได้อีกด้วย โดยในปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์ มีเทคนิคใหม่ที่ให้ผลลัพธ์ออกมามีความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยเป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับการทำงานของกล้ามเนื้อ สามารถช่วยแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย รูปหน้าไม่เท่ากัน ร่องริ้วรอยต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี วิธีที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นวิธีที่ไม่รุนแรง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดี ไม่ต้องการการพักฟื้นเฉกเช่นการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ  ส่วนการเลือกวิธีการรักษาผิวหน้าหย่อนคล้อยให้ยกกระชับแลดูอ่อนเยาว์ในแต่ละวิธีจะเหมาะสมกับปัญหาและสภาพผิวที่แตกต่างกันตามแต่ละกรณี

โดยการพิจารณาเลือกการรักษาควรอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  และในบางกรณีอาจต้องเลือกใช้หลายวิธีเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการและคาดหวังของผู้มารับบริการอย่างดีที่สุดค่ะ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ผลข้างเคียงจากฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง? ใครอยากฉีดก็ต้องรู้

อยากฉีดฟิลเลอร์ ต้องทำยังไง การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์

ยกกระชับหน้าด้วยฟิลเลอร์ สวยทันที ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด

นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

Line : @debeauclinic
☎️ : 097 426-6956 หรือ 097 429-5645

ฉีดฟิลเลอร์ หมอโบ เดอโบคลินิก (De Beau Clinic) ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์แท้

หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”

สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ