ฟิลเลอร์แบรนด์สัญชาติอเมริกา ได้รับความนิยมจากทั่วโลกมาอย่างยาวนานในการนำมาใช้ปรับรูปหน้า แก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ บนใบหน้า โดยฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ผลิตโดยบริษัท Allergan ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิต Botox Allergan ค่ะ ทั้งนี้ juvederm filler เป็นฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic Acid ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย. ประเทศไทย นำเข้าโดย บริษัท Allergan Thailand ค่ะ
จุดเด่นของ Juvederm มีอะไรบ้าง?
จุดเด่นของ ฟิลเลอร์ Juvederm คือ เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูง ถูกออกแบบมาให้มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) จึงช่วยให้ขณะฉีดไม่รู้สึกเจ็บ หากใครที่กลัวเจ็บ กลัวเข็ม สบายใจได้ค่ะ
นอกจากนี้ Filler Juvederm ยังมีกระบวนการผลิต 2 เทคโนโลยี คือ Hylacross และ Vycross Technology
คือเทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของค่าความอุ้มน้ำได้ดี เป็นตัวดั้งเดิมของฟิลเลอร์ Juvederm ฉีดแล้วฟู ตัว HA มีความยืนหยุ่นสูง สามารถทนต่อการขยับได้ดี เหมาะกับการฉีดบริเวณที่ผิวมีการขยับบ่อย ๆ เช่น ร่องแก้ม แก้ปัญหาแก้มตอบ โดยฟิลเลอร์ Juvederm รุ่นที่อยู่กลุ่ม Hylacross ได้แก่รุ่น Ultra Plus
คือเทคโนโลยีล่าสุด ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีคุณสมบัติในการยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลยึดเกาะที่หนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อย เมื่อเทียบกับ HA อื่น จึงช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีด เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน ซึ่งเหมาะสำหรับฉีดเพื่อเติมความอวบอิ่มของริมฝีปากหรือฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มซึ่ง Juvederm กลุ่ม Vycross ได้แก่รุ่น Volite, Voluma, Volift, Volbella และ Volux
Juvederm มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นเหมาะกับฉีดส่วนไหนบ้าง?
เมื่อเรารู้จักเจ้า Juvederm กันพอสังเขปแล้ว ต่อมา เรามาดูกันค่ะ ว่าฟิลเลอร์แต่ละรุ่นของ Juvederm จะมีตัวไหนบ้าง แต่ละตัวจะแตกต่างกันอย่างไร ใช้เทคโนโนโลยีอะไร เหมาะกับส่วนไหนของใบหน้า และมีจุดเด่นอะไรบ้าง เพื่อที่จะเลือกใช้กันให้ถูกจุด ซึ่ง Juvederm มีทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน ดังนี้ค่ะ
1. Juvederm VOLUMA
จุดเด่นของรุ่น VOLUMA
- เนื้อเจลมีความแน่น คงตัว เรียบเนียน ไม่ไหล
- ยกกระชับใบหน้าได้ดีที่สุดและนานที่สุดในฟิลเลอร์ทั้งหมด
- ปั้นง่าย ทำให้ปรับรูปหน้าได้สวย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยบนใบหน้าเยอะๆ และต้องการปรับรูปหน้า
- อยู่ได้นานถึง 2 ปี คุ้มค่า ไม่ต้องฉีดบ่อย
- ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด
2. Juvederm ULTRA PLUS XC
จุดเด่นของรุ่น ULTRA PLUS XC
- เนื้อเจลมีความแน่น คงตัว เรียบเนียน ไม่ไหล
- เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า ให้สวย และดูเป็นธรรมชาติ
- อยู่ได้นานถึง 12 เดือน
- ใช้ฉีดในบริเวณที่ต้องการความฟูมากๆ หรือบริเวณที่หายไปค่อนข้างเยอะ เช่น ขมับ ร่องแก้ม
3. Juvederm VOLITE
จุดเด่นของรุ่น VOLITE
- เนื้อบางเบา สามารถฉีดเข้าไปยังชั้นหนังแท้ (dermis) ได้ เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ
- ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น อิ่มฟู ฉ่ำวาว ยื่ดหยุ่น ดูสุขภาพดี
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนเล็กลง
- เห็นผลทันทีหลังฉีด ไม่ต้องพักฟื้น
4. Juvederm VOLBELLA
จุดเด่นของรุ่น VOLBELLA
- เนื้อเจลนิ่มที่สุด ให้ความเรียบเนียน แม้ฉีดตื้น
- มีปริมาณ HA ไม่มาก
- เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณผิวหนังบางๆ เช่น ใต้ตา หรือริ้วรอยบางๆ
- ไม่เกิดปรากฏการณ์ที่แสงตกกระทบฟิลเลอร์ใต้ผิวหนัง และทำให้เกิดเป็นสีผิวสีเทา
- อยู่ได้นานถึง 1 ปี
- ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด
5. Juvederm VOLIFT
Juvederm รุ่น Volift เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีลักษณะเนื้อนิ่ม ละเอียดมากกว่ารุ่น ultra plus จึงเหมาะ กับคนผิวบาง นิยมใช้ฉีดบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ที่ไม่ลึกมาก สามารถนำมาเก็บรายละเอียดร่องแก้มชั้นตื้นได้ดี หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์อยู่นานประมาณ 12 เดือน
จุดเด่นของรุ่น VOLIFT
- เนื้อเจลนิ่มปานกลาง เรียบเนียน ไม่ไหล
- เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึกต่างๆ และการฉีดปากเพื่อให้ได้รูปปากที่สวยตามต้องการ
- อยู่ได้นานถึง 1 ปีครึ่ง
- ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด
6. Juvederm ULTRA XC
ฟิลเลอร์รุ่นนี้ อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Hylacross ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมของฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้จะคุณสมบัติที่เด่นในเรื่องของการอุ้มน้ำ หลังฉีดเนื้อฟิลเลอร์จะมีความฟูค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับเติมในบริเวณร่องลึก หรือในตำแหน่งที่ไขมันหายไปมากๆ ค่ะ
จุดเด่นของรุ่น ULTRA XC
- เนื้อเจลนิ่ม เรียบเนียน
- เหมาะสำหรับคนที่ริ้วรอย หรือร่องลึก
- อยู่ได้นานถึง 1 ปี
อย่างไรก็ดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร หรือเป็น Juvederm รุ่นใดก็ตาม ผู้ที่สนใจจะฉีดนั้นควรทำการศึกษาให้ดีว่ารุ่นใดที่เหมาะกับเรา สิ่งสำคัญคือการที่เราต้องทราบว่าปัญหาของใบหน้าเรานั้นมีอะไรบ้าง และมีสาเหตุมาจากอะไร เนื่องจากเจ้าฟิลเลอร์ตัวนี้ แต่ละรุ่นของมันนั้นมีจุดประสงค์ที่เหมือนและต่างกันออกไป ดังนั้น หากศึกษาข้อมูลแล้วยังไม่มั่นใจก็ควรเข้ารับคำปรึกษาและคำแนะนำจากศัลยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ให้มั่นใจเสียก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจที่จะเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ทั้งถูกใจและปลอดภัยได้มาตรฐานจะดีกว่าค่ะ