แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสเหมือนเมื่อก่อนตามที่ใครหลายคนปรารถนา แต่ยังมีอีกหลายคนที่อาจไม่ได้คิดถึงผลตามมาหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปได้สักระยะ ว่าแต่อาการหลังฉีดฟิลเลอร์จะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ มีวิธีรับมือและรักษาอย่างไร วันนี้หมอโบจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
อาการหลังฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง
1. ภาวะบวมแดง ฟกช้ำ
เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ มีลักษณะบวมแดง หรือเขียวช้ำอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปแล้วอาการบวมแดงจะหายไปเองภายใน 3 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้นแนะนำให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรับยาทานเพิ่มได้เลยค่ะ ทั้งนี้หมอโบขอเตือนไว้ก่อนเลยนะคะว่าห้ามสัมผัสบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 3 วันนะคะ เพราะมีคนไข้บางรายเห็นว่ามีอาการปวดบวมแล้วก็ต้องนวดเพื่อคลายปวด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการสัมผัสบริเวณแผลเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น อย่าลืมนะคะว่ามือและเล็บของคนเราประกอบไปด้วยสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา ทางที่ดีงดสัมผัส ล้วง แคะ แกะ เกา ไปก่อนจนถึงเวลาที่แพทย์อนุญาตจะดีที่สุดค่ะ
2. มีหนองหรือน้ำเหลืองไหลออกมา
เป็นสัญญาณเตือนของภาวะฟิลเลอร์อักเสบ โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อหลังฉีดฟิลเลอร์ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของกรด HA หรือไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยมากเนื่องจาก HA เป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนทุกคน ไม่ใช่สารแปลกปลอมแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่ที่เกิดการติดเชื้อและกลายเป็นฟิลเลอร์อักเสบนั้นมักเกิดจากกาณฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือซิลิโคนเหลว ที่ผลิตจากพอลิเมอร์ (Polymer), ไบโอพลาสติก (Bioplastic) หรือพาราฟิน (Paraffin) นอกจากจะมีหนองไหลแล้วอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ฟิลเลอร์ไหลหรือเปลี่ยนตำแหน่ง วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ในกรณีที่ฉีดใกล้ดวงตาอาจเสี่ยงต่อภาวะตาแห้งหรือมองเห็นไม่ชัด หากปล่อยไว้นานอาจเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ด้วยค่ะ
3. เป็นก้อนบริเวณที่ฉีด
เป็นภาวะที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเป็นก้อนแข็งนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมกับอาการปวดบวมตามมาด้วยค่ะ ภาวะดังกล่าวมักเกิดขึ้นได้บ่อยจาก 4 สาเหตุ ได้แก่ แพทย์ที่ทำการฉีดเลือกประเภทของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่จะฉีด เช่น เลือกฟิลเลอร์โมเลกุลขนาดใหญ่แต่ไปฉีดใต้ตา, แพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอและฉีดผิดตำแหน่ง, แพทย์ที่ฉีดให้เป็นแพทย์ปลอม (หมอกระเป๋า) เลือกใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือซิลิโคนเหลวให้แก่คนไข้ รวมถึงโครงสร้างทางกายวิภาคของคนไข้เองด้วยนะคะ หากคนไข้มีเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณร่องใต้ตานูนขึ้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็อาจเกิดภาวะฟิลเลอร์เป็นก้อนได้เช่นกันค่ะ แต่ก็ถือเป็นปัญหาเล็กน้อยมากหากคนไข้เข้ารับกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพราะแพทย์ที่ชำนาญทุกท่านมักวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด รับรองว่าไม่มีปัฯหาฟิลเลอร์เป็นก้อนอย่างแน่นอนค่ะ
4. ติดเชื้อ
มักเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ สังเกตได้ง่าย ๆ จากผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะบวมช้ำหรือเป็นหนอง หรือเกิดการอักเสบ เป็นก้อนนูน มีอาการแสบร้อน ปวดบวมตามมา สำหรับวิธีการรักษานั้นแพทย์จะให้ทานยาปฏิชีวนะและยาลดบวมเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากคนไข้มีอาการดื้อยา แพทย์อาจต้องจ่ายยายาปฏิชีวนะเพิ่มจนกว่าอาการจะดีขึ้นค่ะ แต่หากอาการไม่ทุเลา แพทย์จะฉีดสลายฟิลเลอร์ให้ในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์แท้เท่านั้นนะคะ ส่วนฟิลเลอร์ปลอมนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษาให้ค่ะ
5. เส้นเลือดอุดตัน
เป็นภาวะที่เกิดต่อจากฟิลเลอร์อักเสบที่ไม่ได้รับการรักษามาเป็นเวลานาน โดยเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดดำ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนสีไปอย่างเห็นได้ชัด จากชมพูกลายเป็นสีแดงหรือสีคล้ำ หรือมีมีลักษณะเป็นตุ่มหนองบริเวณที่ฉีด หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อภาวะเนื้อตายที่มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดโดยตรง โดยภาวะดังกล่าวมักเกิดจากแพทย์ผู้ทำการฉีดไม่มีความชำนาญและประสบการณ์มากพอ จึงฉีดเข้าไปในตำแหน่งอื่นที่เจอเส้นเลือดพอดี ส่วนแนวทางการรักษานั้นจะต้องผ่าตัดเอาฟิลเลอร์ออกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันเส้นประสาทและเส้นเลือดสำคัญต่าง ๆ ได้รับความเสียหายอีกด้วยค่ะ
ป้องกันอาการหลังฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างไรบ้าง
1. ประคบหลังฉีดฟิลเลอร์
หากต้องการบรรเทาอาการหลังฉีดฟิลเลอร์ หมอโบแนะนำให้ประคบเย็นตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นเพราะการประคบเองโดยที่ไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนอาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่เกาะผิวหรือเคลื่อนตัวไปจากตำแหน่งเดิมได้นะคะ ทั้งนี้ควรประคบเย็นหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 6 ชั่วโมง ด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นหรือผ้าขนหนูแช่ฟรีซ หรือผ้าห่อน้ำแข็งก็ได้เช่นกันค่ะ ที่สำคัญไม่ควรออกแรงประคบมากเกินไปและไม่ควรประคบหลังฉีดทันทีนะคะ เพราะอาจทำให้แผลบวมช้ำง่ายกว่าเดิมค่ะ
2. ดื่มน้ำให้มากกว่าแต่ก่อน
แม้ว่าการดื่มน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะต้องดื่มประมาณวันละ 2 ลิตร (วันละ 8 แก้ว) แต่หากคุณต้องการคงสภาพของฟิลเลอร์เอาไว้ให้นานที่สุดแล้วล่ะก็ การดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำจะช่วยแทนที่หรือเติมโมเลกุลของฟิลเลอร์ที่สูญเสียไปทีละนิดตามอายุการใช้งาน และเนื่องจากเซลล์ผิวของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 30% น้ำจึงช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดสิวและริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าและจากอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ แต่สำหรับใครก็ตามที่ดื่มน้ำน้อยกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการ หมอโบแนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำด้วยการใส่ผลไม้ชิ้นเล็กลงไปในเครื่องดื่มสุขภาพหรือเปลี่ยนมาดื่มชาเขียวไม่มีน้ำตาลก็ดีต่อสุขภาพไม่น้อยเลยล่ะค่ะ
3. รับประทานอาหารลดบวม
รู้หรือไม่ว่าอาหารบางชนิดสามารถบรรเทาอาการปวดบวมได้ด้วยนะคะ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) สำหรับขับน้ำที่เป็นส่วนเกินของร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมและปรับสมดุลของน้ำภายในร่างกาย, มีกรดอะมิโนแอสพาราจีน (Asparagines) ที่มีฤทธิ์ช่วยขับโซเดียมและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย, มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยรักษาสมดุลของน้ำและบรรเทาอาการบวมน้ำ โดยอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้ได้แก่ แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลฯ นอกจากนี้อย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำง่ายอย่างเช่น อาหารรสจัดอย่างส้มตำหรือต้มยำ หรือแม้แต่อาหารที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย เช่น อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ, อาหารแปรรูป, อาหารทะเล รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ
4. พักผ่อนให้ถูกวิธี
ยังมีอีกหลายคนที่ละเลยการพักผ่อนอันเนื่องมาจากความเคยชิน เช่น ติดซีรีส์ ทำงานล่วงเวลา หรือปาร์ตี้เข้าสังคมเป็นประจำ และหากคุณกำลังอยู่ในสภาวะดังกล่าว แนะนำให้ปรับเวลานอนโดยด่วนค่ะ เพราะการพักผ่อนที่น้อยเกินกว่าที่ร่างกายต้องการย่อมส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้แผลฉีดฟิลเลอร์หายช้า นอกจากนี้อย่าลืมสังเกตการนอนของตัวเองด้วยนะคะว่าท่านอนของเราเหมาะต่อการพักผ่อนจริง ๆ หรือไม่ เพราะถ้าหากคุณนอนผิดท่า ชอบนอนคว่ำหน้า อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ถูกกดทับเป็นเวลานานและผิดรูปไปจากเดิม เป็นเหตุให้ต้องกลับมาฉีดไวกว่าอายุการใช้งานของฟิลเลอร์จริง ๆ ทางที่ดีควรนอนโดยใช้หมอนหนุน 2 ใบ เพื่อให้ใบหน้าสูงกว่าระดับหน้าอก ป้องกันการนอนคว่ำได้เป็นอย่างดีค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครมีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

บทความที่น่าสนใจ
- เช็กให้ชัวร์ 7 สิ่งที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้ขมับตอบ
- 10 ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและยาวนาน
- คุ้มไหม? อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์หิ้วที่หลายคนไม่เคยรู้