สาว ๆ หลายคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองบาน แก้มเยอะเกินไป หรือบางคนอาจมีปัญหาหน้าเบี้ยวที่นอกจากจะเสียบุคลิกแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ในระยะยาว วันนี้หมอโบจะพามาทำความรู้จักกับปัญหาหน้าไม่เรียว พร้อมวิธีการรักษาแบบต่าง ๆ เพื่อดึงความมั่นใจบนใบหน้าของคุณกลับมาค่ะ
หน้าไม่เรียวเกิดจากอะไร
ปัญหาหน้าไม่เรียวมีทั้งหน้าบานและใบหน้าไม่เท่ากัน โดยหน้าบานเกิดจากกล้ามเนื้อกรามมีขนาดใหญ่เกินไปเนื่องจากการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวเกินไป, กระดูกโครงหน้าใหญ่จากพันธุกรรม มีกระดูกขากรรไกรใหญ่มาแต่กำเนิด, คางไม่เท่ากัน, มีไขมันสะสมบนใบหน้ามากเกินไปโดยเฉพาะแก้มและเหนียง เนื่องจากการรับประทานอาหารรสจัด ดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮออล์มากเกินไปจนร่างกายขับออกไม่หมด รวมถึงไขมันสลายและเคลื่อนตัวลงมารวมอยู่ช่วงล่างของใบหน้าเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ส่วนหน้าไม่เท่ากันเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรมหน้าเบี้ยว, พฤติกรรมการนอนตะแคงหรือการเคี้ยวอาหารข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน, กระดูกบางส่วนหยุดเจริญเติบโตเนื่องจากอายุมากขึ้น แต่บางส่วนยังคงเจริญเติบโตต่อ, การถอนฟันเพื่อจัดฟัน, ได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนต่อใบหน้าอย่างรุนแรง หรือแม้แต่โรคปากเบี้ยว (Bell’s Palsy) และเป็นโรคคอเอียง (Torticollis) นอกจากนี้หน้าไม่เรียวอาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานจนเกิดก้อนฟิลเลอร์บนใบหน้าด้วย
แก้ปัญหาหน้าไม่เรียวได้อย่างไรบ้าง
1. ฉีดฟิลเลอร์
โดยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ที่ช่วยในการเติมเต็มชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพและยุบตัวลง ให้กลับมาเรียบเนียน เต่งตึง อีกทั้งช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอิ่มน้ำ ผิวฟูอย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนกรณีที่หน้าไม่เรียวจากการฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์จะฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยการใช้สารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase) ฉีดเข้าไปยังฟิลเลอร์ที่มีปัญหา โดยสารนี้มีฤทธิ์สลายฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic acid) เท่านั้น นอกจากนี้สารเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสมีฤทธิ์ทำให้ก้อนเนื้อ, เนื้องอก หรือก้อนผิดปกติในร่างกายมีขนาดเล็กลงหรือสลายไปเช่นกัน และเนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจึงปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อคนไข้อีกด้วย
2. ฉีดโบท็อก
โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกเข้าไปยังกราม หลังจากนั้นโบท็อกจะออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อกรามหยุดทำงานชั่วคราว กล้ามเนื้อกรามจึงหดลงและนิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลว่าควรฉีดโบท็อกแบบไหนดี อาจฉีดโบท็อกลดกรามเพียงอย่างเดียว หรือฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้าควบคู่กันก็ได้ ทั้งนี้หลังจากฉีดโบท็อกลดกรามแล้ว คนไข้ควรงดการกัดหรือเคี้ยวอาหารที่เหนียวหรือแข็งเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อกรามทำงานหนักและกลับมาใหญ่เหมือนเดิม แต่หากกรามใหญ่จากกระดูกโครงหน้า แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อกเนื่องจากโบท็อกมีผลกับแค่กล้ามเนื้อเท่านั้น การผ่าตัดจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับกรณีนี้ค่ะ โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังจากฉีด
3. ฉีดเมโส
เป็นเทคนิคการรักษาผิวหน้าแบบหนึ่งที่ช่วยสลายไขมันลงไปยังชั้นไขมัน เพื่อลดไขมันและเซลลูไลท์เฉพาะจุด เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการหน้าเรียวแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยตัวยาที่แพทย์ฉีดให้จะออกฤทธิ์ทำให้ไขมันสลายตัวเองตามธรรมชาติ แถมยังเห็นผลชัดเจนหากเข้ารับการฉีดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ถึงจะเห็นผล
ฉีดแก้ม สลายไขมัน ปรับหน้าเรียวดีไหม ปลอดภัยหรือเปล่า?
4. ร้อยไหม
โดยแพทย์จะใช้ไหมละลายจำนวนมากมาร้อยเรียงเข้าไปยังใต้ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่สำหรับซ่อมแซม ช่วยให้ผิวเต่งตึงมากยิ่งขึ้น
5. Thermage FLX
โดยแพทย์จะส่งผ่านคลื่นลึกลงไปตั้งแต่ชั้นหนังแท้ (Dermis) ไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) หรือชั้นผิวหนังที่แพทย์ใช้ผ่าตัดเพื่อยกกระชับใบหน้า โดยพลังงานคลื่นวิทยุจาก Thermage จะทำให้เกิดความร้อนลึก (Deep heating) บริเวณเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว ส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินที่หย่อนคล้อยหดตัวลง ทำให้เกิดการเรียงตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อใต้ผิวหนังใหม่ โครงสร้างใต้ผิวหนังจึงกระชับตัวมากขึ้น และคอลลาเจนใหม่จะสร้างเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้ผิวแข็งแรง, ริ้วรอยและรูขุมขนเล็กลดลง
6. Ulthera
โดยแพทย์จะใช้เทคโนโลยี Advance-Focused Ultrasound เพื่อปล่อยพลังงานความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสม ลงลึกเข้าฟื้นฟูถึงผิวชั้นในสุด หรือผิว SMAS (Superficial musculoaponeurotic system) ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งพลังงานที่นำส่งลงไปจะกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนในผิวหนังหลายชั้น โดยไม่บาดเจ็บผิวหนังด้านบน ผิวหนังจึงไม่เกิดการระคายเคือง และไม่มีผลกับการโดนแสงแดดหลังจากการรักษา ผลจากการทำอัลเทอร่าจะเห็นชัดเจนตั้งแต่ 2-3 เดือนแรก และผลอยู่นานถึง 1 ปี
7. บริหารใบหน้า
แบ่งเป็นการนวดใบหน้า และการฝึกออกเสียงกระชับใบหน้า ดังนี้
- ใช้นิ้วนางและนิ้วกลางนวดจากกลางหน้าผาก นวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวดขึ้นลงเบา ๆ จนไปถึงขมับ ทำซ้ำ 3 ครั้ง
- ใช้นิ้วนางและนิ้วกลางนวดวนไปวนมาเบา ๆ บริเวณโครงกระดูกเบ้าตาล่าง ทำซ้ำ 3 ครั้ง
- ใช้ปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างนวดจากมุมปาก ยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง
- ใช้ปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคาง ยกขึ้นไปยังมุมปาก ทำซ้ำ 3 ครั้ง
- ออกเสียง “อา” ค้างไว้ 5 ครั้ง ครั้งละ 10 วินาที
- ออกเสียง “อี” ค้างไว้ 5 ครั้ง ครั้งละ 10 วินาที
- ออกเสียง “อู” ค้างไว้ 5 ครั้ง ครั้งละ 15 วินาที
- ออกเสียง “แบ” ค้างไว้ 5 ครั้ง ครั้งละ 15 วินาที
- ดูดแก้มทั้ง 2 ข้าง ค้างไว้ 5 ครั้ง ครั้งละ 15 วินาที
- เงยหน้าขึ้น ค้างไว้ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วินาที
- ใช้นิ้ว 3 นิ้วดันให้นิ้วชี้อยู่ที่ปลายหางตาค้างไว้ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 นาที
8. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
หลายคนอาจยังไม่รู้นะคะว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดหน้าบวมนั่นคือภาวะขาดน้ำ หากคุณดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร จะช่วยให้ร่างกายระบายน้ำได้อย่างสมดุล งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีปริมาณแคลอรี่มากกว่าเครื่องดื่มทั่วไป, เน้นทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย, ลดอาหารรสจัดที่ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำสำหรับขับโซเดียมจากอาหารดังกล่าว
9. ออกกำลังกาย
นอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพดีแล้ว การออกกำลังกายยังช่วยกำจัดไขมันที่สะสมอยู่บริเวณใบหน้าออกไปอีกด้วยนะคะ อีกทั้งช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรง ยกกระชับผิวหน้ามากขึ้น
วิธีป้องกันปัญหาหน้าไม่เรียวด้วยตัวคุณเอง
- เคี้ยวอาหารด้วยฟันทั้งสองข้าง หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารข้างเดียว รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียวเกินไป
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน หากรู้สึกตัวให้เปลี่ยนไปนอนอีกข้างหนึ่งทันที
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการปะทะบริเวณใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดด เนื่องจากรังสี UV ในแดดส่งผลให้ใบหน้าข้างที่โดดแดดมากกว่าเกิดรอยย่น แห้งกรานง่ายกว่าอีกข้าง
- หลีกเลี่ยงการแสดงออกทางสีหน้าที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าใช้งานมากเกินไปและเกิดรอยย่นง่ายยิ่งขึ้น
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ตอบวิธีเลือกฉีดถุงใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์ตัวไหน ฉีดที่ไหนดี?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม เลือกฉีดอย่างไร กูรูตอบให้แล้ว
สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตากลายเป็นก้อน ไม่อยากโป๊ะต้องดู!
ทำไมต้องดูแลใบหน้ากับหมอโบที่ De Beau Clinic
หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครมีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
