หนึ่งในสิ่งกวนใจสาว ๆ ที่อาจเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับใครหลายคนนั่นก็คือใบหน้าหมองคล้ำดูไม่สว่างสดใสเหมือนเคย แม้ว่าจะทาครีมตัวไหน บำรุงอะไรก็ไม่ดีขึ้น ควรทำยังไงดี วันนี้หมอโบจะมาแนะนำวิธีดูแลผิวหน้าให้กลับมาสดใสกันค่ะ
สาเหตุของหน้าหมองคล้ำที่หลายคนมองข้าม
1. สภาพอากาศ
ถึงแม้ว่าการได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าจะช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ดี แต่ถ้าแสงแดดจ้าเกินไปอาจส่งผลเสียต่อผิวหน้าของสาว ๆ จนหมองคล้ำได้เช่นกันนะคะ เพราะรังสี UV ในแดดจะไปทำลายเส้นใยในผิวหนัง (Elastin) ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ มีรอยริ้ว หย่อนคล้อย หากปล่อยไว้นานอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้
หรือหากอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวจัดหรืออยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ก็ตาม ความเย็นจะดูดซับความชุ่มชื้นจากผิว จนผิวแตกเป็นขุย ผิวลอก ผิวหนังอักเสบ และมีใบหน้าหมองคล้ำตามมา
2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
โดยทั่วไปคนเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น แต่หากขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงต่อหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำได้เช่นกัน
3. ความเครียด
เคยได้ยินมั้ยคะว่าความเครียดไม่ได้ส่งผลแค่จิตใจเท่านั้น ยังส่งผลต่อร่างกายโดยตรง เมื่อเราเผชิญกับความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาและทำให้เกิดสิวง่ายกว่าปกติ ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำจากรอยสิว ผิวแห้ง
4. อายุ
โดยทั่วไปร่างกายจะมีระบบผลัดเซลล์ผิวเก่าออกทุก ๆ 28 วัน แต่หากกระบวนการดังกล่าวทำงานช้าลงเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ขาดความกระชับ แห้งกร้านกว่าเดิม
5. การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเกินความจำเป็น
ส่วนประกอบต่าง ๆ ในครีมเหล่านี้อาจทำปฏิกิริยากับสารบางชนิดที่ทาทับกัน ทำให้ประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิวไม่ดีเท่าที่ควร กลายเป็นว่ายิ่งทาผิวหน้ายิ่งหมองคล้ำ หรืออาจเกิดการระคายเคืองจนผิวลอก
6. การสูบบุหรี่
ภายในควันบุหรี่มีสารทำลายออกซิเจนในผิว รวมถึงนิโคตินที่ไปยับยั้งการไหลเวียนของเลือดให้มีประสิทธิภาพน้อยลง และดูดซับวิตามิน A ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ผิวหน้าแห้งกร้าน หมองคล้ำ ดูแก่กว่าวัย ทำให้ผิวหน้ามันกว่าคนทั่วไป
7. ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
หลายคนอาจต้องทำงานที่ต้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนนานเกินไป ส่วนบางคนไม่ทาครีมบำรุงผิวเลย หรือบางคนนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผิวหน้าของสาว ๆ หมองคล้ำได้เช่นกัน
วิธีดูแลผิวหน้ายังไงให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
1. ใส่ใจกับการทำความสะอาดผิวหน้า
หลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน สาว ๆ หลายคนอาจละเลยการใช้คลีนซิ่งออยล์ลบเครื่องสำอางก่อนล้างหน้า ทำให้สิ่งสกปรกสะสมบนใบหน้าและติดตามที่นอน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน โดยวิธีทำความสะอาดผิวหน้าเริ่มจากใช้ Eye & Lip Makeup Remover และ Cleansing จนกว่าสำลีจะมีสีขาว แล้วตามด้วย Cleanser เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง เหงื่อ ความมันบนใบหน้า และแบคทีเรียต่าง ๆ ทั้งนี้ไม่ควรมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันไม่ให้ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดใบหน้าลดลง
รู้หรือไม่? การล้างหน้าไม่สะอาด ล้างไม่ถูกวิธี ทำหน้าเหี่ยว ผิวแก่ไว
2. ครีมบำรุงผิวก็สำคัญ
นอกจากจะต้องทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกไปข้างนอกแล้ว อย่าลืมทางครีมบำรุงผิวเป็นประจำ แนะนำว่าควรเลือกครีมบำรุงผิวที่ผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแล้วว่าปลอดภัย ทั้งนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรมีส่วนผสมของสารต่าง ๆ เหล่านี้
- วิตามิน C เพิ่มกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่ง
- วิตามิน E ช่วยป้องกันแสงแดดไม่ให้ซึมเข้าสู่เซลล์ผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน
- เรตินอล (Retinol) ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าให้จางลง
- อาร์บูติน (Arbutin) ช่วยให้ผิวขาวมากขึ้น
- กลีเซอรีน ช่วยดูดซึมน้ำใต้ผิวขึ้นมาด้านบน เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื้น
- คอลลาเจน ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ดูกระชับและเรียบเนียน ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัย
- สารในกลุ่มกรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวขาวใสทั่วทั้งใบหน้า และกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขน
3. มาส์กหน้าเป็นประจำ
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้ดี ผิวหน้าดูสว่างใสขึ้น ในปัจจุบันมีที่มาส์กหน้าขายหลากหลายสูตรตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป หรืออาจทำมาส์กหน้าเองตามสูตรธรรมชาติก็ได้เช่นกัน
4. ทานอาหารบำรุงผิวหน้า
- ปลาไขมันสูง อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล
- บรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการบำรุงผิว เช่น วิตามิน A, C, ลูทีน ช่วยป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
- ธัญพืช อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3, โอเมก้า 6, วิตามิน E , ไอโซฟลาโวน และซีลีเนียม เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ป้องกันรังสี UV และเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวดูกระชับขึ้น
- อาโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันดีและวิตามิน E ป้องกันผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ผิวอ่อนเยาว์ลง
- ชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด
- แคร์รอต อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ช่วยลดน้ำมันบนผิวหน้าและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย
- ดาร์กช็อกโกแลต มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยให้ผิวทนต่อรังสี UV มากกว่าเดิม 2 เท่า
5. ฟิลเลอร์ (FILLER)
ฟิลเลอร์เป็นการฉีดเพื่อเป้าหมายหน้าเด็กแบบรวดเร็ว จุดเด่นคือสวยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว ปรับแต่งรูปหน้าให้เรียวสวยได้ทุกส่วนทั้งคาง แก้ม ขมับ ร่องแก้ม หน้าผาก ยิ่งจะตรงข้ามกับโบท็อกซ์ค่ะ เพราะโบท็อกซ์ฉีดแล้วปรับให้เล็กลง แต่ฟิลเลอร์ฉีดแล้วหน้าเต็มขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีใบหน้าตอบ ขมับตอบ โดยเฉพาะปัญหาใต้ตาดำคล้ำ เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้วจะทำให้ผิวบริเวณนั้นกระจ่างใสขึ้นค่ะ
อยากหน้าใสต้องฉีดอะไร ฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือ ทำเมโสดีกว่ากัน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ฟิลเลอร์ไหล คืออะไร? เกิดจากสาเหตุอะไร? และควรป้องกันอย่างไร
เนื้อฟิลเลอร์แต่ละชนิด เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน?
ข้อห้ามฟิลเลอร์ ก่อนฉีดต้องระวัง ใครห้ามฉีดฟิลเลอร์
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ