ตาโหล แก้ยังไง? เชื่อได้ว่าเป็นคำถามของสาว ๆ ผู้ประสบปัญหาใต้ตาคล้ำและเบ้าตาลึกต้องการทราบคำตอบกันอยู่อย่างแน่นอน แม้หลาย ๆ คนอาจมองว่าปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาโบ๋ จะเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่ต้องบอกก่อนว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่พบเบื้องต้นเท่านั้นค่ะ เพราะมันตามมาด้วยปัญหาอื่น ๆ เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ ดูไม่สดใส ซึ่งทำให้ผู้ประสบปัญหาขาดความมั่นใจไปเลยทีเดียว ดังนั้น การแก้ไขปัญหาตาโบ๋ ใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำอย่างเร่งด่วน
ตาโหล แก้ยังไง ใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก ทำใบหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ต้องแก้ยังไง หมอโบมีคำตอบ!!
ปัญหาร่องใต้ตาลึกเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจมากที่สุด เพราะดวงตานั้นถือเป็นจุดที่สำคัญบนใบหน้า หากใต้ตาของเราดูคล้ำขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ย่อมทำให้ใบหน้าดูหมองไม่สดใส และยังดูมีอายุก่อนวัยอีกด้วย ขอชวนมาฟื้นฟูร่องใต้ตาเพื่อบอกลาปัญหาใต้ตาแพนด้า ด้วย 5 เคล็ดลับที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ทุกวัน พร้อมแนะนำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก เกิดจาก…
ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับเคล็ดลับฟื้นฟูใต้ตาคล้ำและการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เรามาดูกันว่าปัญหาใต้ตาดำคล้ำนั้นมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
1.ภูมิแพ้
ชาวภูมิแพ้กับปัญหาใต้ตาคล้ำนั้นเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนหลาย ๆ คนที่ประสบปัญหานี้อาจรู้สึกน้อยใจว่านอกจากจะต้องทนกับอาการจามที่ห้ามไม่ได้เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง หรือสัมผัสกับฝุ่นละอองแล้ว ยังมีรอยคล้ำที่ใต้ตาฝากไว้ให้รู้สึกกังวลใจด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาของชาวภูมิแพ้คล้ำกว่าปกตินั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 กรณีดังนี้
- ภูมิแพ้จมูก จะมีอาการคัดจมูก ทำให้น้ำมูกไหลและจามอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เยื่อบุจมูกอักเสบ เมื่อเยื่อบุจมูกอักเสบจะไปขัดขวางการไหลเวียนของหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดดำคั่งอยู่บริเวณร่องใต้ตาจนดูมีสีดำคล้ำ
- ภูมิแพ้ตา จะมีอาการคันและเคืองตาจนทำให้ต้องขยี้ตาบ่อย ๆ เมื่อเราขยี้ตาบ่อย ผิวบริเวณใต้ตาจะช้ำจนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นและมีสีคล้ำขึ้น
2.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
ปัญหาใต้ตาคล้ำที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอถือเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดในวัยทำงาน เมื่อเรานอนน้อย ผิวของเราจะดูซีดเซียวและร่องใต้ตาก็จะยุบลงไปจนปรากฏเป็นรอยคล้ำที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าไม่สดใส
3.ร่องใต้ตาลึกโดยพันธุกรรมและโครงสร้าง
นอกจากปัญหาภูมิแพ้และการนอนหลับไม่เพียงพอ อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาดูหมองคล้ำก็คือปัญหาร่องใต้ตาลึกโดยพันธุกรรมและโครงสร้างใบหน้า เพราะหากเราเป็นคนที่มีร่องใต้ตาลึกโดยกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอแสงตกกระทบก็จะทำให้ใต้ตาดูคล้ำกว่าปกติทันที ซึ่งวิธีนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องใต้ตาลึกเพื่อช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเติมเต็ม อิ่มฟู มากขึ้น
ซึ่งทั้ง 3 สาเหตุที่กล่าวมา เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตาโหล เบ้าตาลึก อันเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งใบหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอตลอดเวลา ทำให้สาว ๆ หลายคนหมดความมั่นใจไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้ารวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันด้วยเช่น ซึ่งปัญหานี้สามารถหมดไปได้เพียงแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและตรงจุด โดยแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมก็คือ ฟิลเลอร์ใต้ตา ที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
แก้ปัญหาใต้ตาได้ง่าย ๆ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มใต้ตา
ในปัจจุบันมีวิธีรักษาปัญหาใต้ตาที่หลากหลาย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นวิธียอดนิยมของใครหลายคนเลยค่ะ นอกจากจะใช้เวลาไม่นานและสะดวกต่อการรักษาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดด้วย โดยเฉพาะปัญหากระบอกตาลึกจากพันธุกรรม, โรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่อายุที่เพิ่มขึ้นก็ตาม โดยศัลยแพทย์จะฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปยังร่องลึกเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณนั้นให้ขึ้นมานูนเหมือนรอบดวงตาของคนทั่วไป แถมยังช่วยลดริ้วรอยและรอยหมองคล้ำให้กลับมาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ซึ่งสาร HA ที่ฉีดให้คนไข้ส่วนใหญ่จะฉีดประมาณ 1-2 CC เท่านั้น และคงอยู่รอบดวงตาประมาณ 6 เดือน -1 ปีเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดและสภาพร่างกายของแต่ละคน) จากนั้นจะสลายออกไปเองตามกลไกของธรรมชาติ แต่หากคุณต้องการให้ดวงตาดูเอิ่มอิ่มอย่างสม่ำเสมอ จะต้องมาเติมฟิลเลอร์เป็นประจำ
ฉีดใต้ตาคล้ำด้วยฟิลเลอร์ดีจริงไหม
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถรักษาอาการใต้ตาคล้ำได้จริงค่ะ เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ใช้ในการรักษาเป็นสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิคแอซิด หรือ HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนที่ร่างกายผลิตเองได้ จึงปลอดภัยต่อร่างกายคนไข้ เมื่อฉีดเข้าไปยังบริเวณใต้ตา ช่วยให้ผิวใต้ตาดูเอิบอิ่ม เรียบเนียน ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดริ้วรอยรอบดวงตาให้จางลง ถือเป็นวิธีการรักษาที่เห็นผลหลังการรักษาทันที นอกจากนี้ยังเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายในระดับที่น้อยมาก โดยทั่วไปจะเป็นอาการบวมช้ำหลังการฉีดฟิลเลอร์ที่สามารถหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
ฉีดใต้ตาคล้ำ เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาคล้ำจากอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม หรือโรคภูมิแพ้
- ผู้ที่มีเบ้าตาลึก เป็นร่องลึกครึ่งวงกลมใต้ดวงตา
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาหย่อนคล้อยตั้งแต่อายุยังน้อย
- ผู้ที่มีริ้วรอยใต้ดวงตาจากการใช้สายตาหนักเกินไป
- ผู้ที่นอนน้อย ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และต้องการการดูแลดวงตาในทันที
ใครบ้างไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนคุณแม่ยังมีความผันผวนสูง อาจเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่คาดเดาไม่ได้
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดไหลยาก หรือผู้ที่มีแผลฟกช้ำง่าย
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารลิโดเคน (Lidocaine) หรือยาชาระงับความรู้สึกเฉพาะจุด
- ผู้ป่วยโรคติดต่อบริเวณที่ฉีด โดยโรคที่พบบ่อยจะเป็นโรคงูสวัด
- ผู้ที่ใต้ตาหย่อนคล้อยมาก มีผิวบางมากกว่าคนทั่วไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคกลุ่มภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune diseases), ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้, ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลนูนง่าย หรือคีลอยด์ (Keloid) และผู้ที่รับยากดภูมิ ZImmunosuppressive drugs)
เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปฉีดฟิลเลอร์
- งดกิจกรรมที่กระตุ้นให้เลือดสูบฉีดง่ายอย่างน้อย 24 ชม. ทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ, การออกกำลังกายกลางแจ้ง, การอบซาวน่า เป็นต้น
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-3 วัน เพราะแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดง่ายขึ้น
- งดทานอาหารเสริม, วิตามิน และยาบางชนิดที่มีผลทำให้เลือดออกง่ายอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ได้แก่ กลุ่มยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS
- หากคนไข้มีโรคประจำตัว, อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรแจ้งแพทย์ก่อนรักษาทุกครั้ง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์
- นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ดูแลหลังฉีดอย่างไร ให้ตาสวย เป็นธรรมชาติ
- งดสัมผัสบริเวณที่ฉีดโดยเฉพาะบริเวณรอยช้ำ ทั้งจับ แตะ แกะ เกา นวดหน้า หรือแม้แต่การนอนคว่ำหน้าก็ตาม เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผล
- หากมีอาการคันหรือบวมบริเวณที่ฉีด ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะอาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันที
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้พื้นที่ที่มีความร้อนอย่างน้อย 2 วัน หลังฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นการซาวน่า, การเล่นกีฬากลางแจ้ง, ออกกำลังกายหนัก
- งดการทำทรีตเมนต์และเลเซอร์ผิวหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
- งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ช่วยป้องกันไม่สารที่อยู่ในบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กระตุ้นการสูบฉีดเลือดมากเกินไปจนทำให้แผลหายช้า
- งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือสารเคมีจากเครื่องสำอางและอุปกรณ์แต่งหน้าเข้าสู่บาดแผลจนเกิดการระคายเคืองและติดเชื้อ
- งดรับประทานอาหารดิบหรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ทั้งแหนม ปลาดิบ ปลาร้า ปูเค็ม เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากอาหารที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
- นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นฟูบาดแผลหลังการรักษา ช่วยให้หายไวยิ่งขึ้น
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (ประมาณ 2 ลิตร) เพื่อเติมน้ำที่สูญเสียไปในแต่ละวันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยเติมน้ำในฟิลเลอร์ อายุการใช้งานของฟิลเลอร์จะยาวนานขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ดวงตาฉบับหมอโบนั้น หมอโบจะใช้เข็มทู่ที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญที่นอกจากจะช่วยลดอาการเจ็บปวดให้แก่คนไข้แล้ว ยังช่วยลดปัญหาการฉีดโดนเส้นเลือด ลดอัตราการเกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ฉีด ลดรอยเปิดเข็ม รวมถึงสามารถสร้างพื้นที่ในการเติมเต็มฟิลเลอร์ได้อีกด้วย ในส่วนของฟิลเลอร์นั้น หมอโบใช้ฟิลเลอร์ 2 ขนาดโมเลกุล ได้แก่ โมเลกุลขนาดใหญ่เพื่อเติมเต็มและแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้าในกรณีที่ดวงตามีร่องลึก หรือคนไข้ที่มีกระบอกตากว้าง แล้วตามด้วยฟิลเลอร์โมเลกุลเล็กเพื่อเก็บรายละเอียดที่เหลือเพื่อให้ผิวรอบดวงตาเรียบเนียนอีกที โดยฟิลเลอร์ที่หมอโบใช้เป็นฟิลเลอร์แท้แน่นอนค่ะ เพราะฟิลเลอร์แท้มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) เป็นสารที่ย่อยสลายได้เองตามอายุการใช้งาน จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของคนไข้แน่นอนค่ะ โดยฟิลเลอร์แท้ที่ใช้เป็นแบรนด์ Juvederm จากประเทศสหรัฐอเมริกา และ Restylane จากประเทศสวีเดน ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย ว่ามีคุณภาพ เชื่อถือได้ค่ะ (อ่านเพิ่มเติม: )
หมอโบ หรือ พญ.ปาริฉัตร ตัณชวนิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์การดูแลคนไข้ด้านความงามมากกว่า 15 ปี ศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกผิวหนังและศูนย์ความงามที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเมื่อสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 9 ปี ก็มาเปิดคลินิกของตนเองภายใต้ชื่อ “เดอ โบ คลินิก” (de beau clinic) ซึ่งหมอโบเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีคนไข้แวะเวียนเข้ามา รีวิวบอกกันปากต่อปากถึงความละเอียดของหมอโบว่า “ละเอียด เนียน เป๊ะ!”
สำหรับฟิลเลอร์ที่หมอใช้ก็เป็นฟิลเลอร์จากยุโรปแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทยเท่านั้น รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองที่ #ยืนหนึ่ง ในวงการฟิลเลอร์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า จะ “สวยมากเสี่ยงน้อย” หากใครมีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องฟิลเลอร์หรืออยากปรับรูปหน้าสามารถปรึกษาหมอโบได้นะคะ หมอยินดีดูแลเองทุกเคสค่ะ
นัดหมาย หรือ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :

บทความที่น่าสนใจ
- อยากหน้าใสต้องฉีดอะไร ฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือ ทำเมโสดีกว่ากัน
- เคล็ดลับเพิ่มความฉ่ำให้ผิว สยบผิวแห้งกร้าน ให้เนียนชุ่มชื้น
- อันตรายจากการซื้อฉีดเมโสเอง ร้ายแรงกว่าที่คุณคิด